แรงคลื่น : ความเจริญที่ควบคุมไม่ได้ คืออันตรายที่สุดสำหรับมนุษย์
โดย ว.ทัศวา*
วิวัฒนาการของวรรณกรรมปัจจุบันทั้งรูปแบบและเนื้อหามีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของสังคม
เนื่องจากตั้งแต่วรรณกรรมยุคเริ่มแรก เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๔๔๓ กระทั่งมีวิวัฒนาการมาถึงยุควรรณกรรมเพื่อประชาชน
อย่างในปัจจุบันนี้
ต่างก็มีรูปแบบและเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วยกันทั้งสิ้น
เรื่องสั้น นับเป็นวรรณกรรมรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมในวงการนักอ่านและนักเขียน
ทั้งนี้ด้วยความก้าวหน้าทั้งรูปแบบและเนื้อหาของวรรณกรรมทำให้วรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน
เนื่องจากเรื่องสั้นเป็นวรรณกรรมที่เสนอความคิดได้กะทัดรัด
กระจ่างชัดตรงเป้าหมายกว่าเรื่องยาว และนอกจาก เรื่องสั้นจะให้ความบันเทิงเริงใจแล้วยังเป็นวรรณกรรมที่รวมทั้งเนื้อหาสาระ
ข้อคิด และทัศนคติต่างๆ แก่ผู้อ่าน
อย่างไรก็ตามหน้าที่สำคัญของเรื่องสั้นที่จะมิกล่าวถึงเสียมิได้คือ
การจดบันทึกความเป็นไปของยุคสมัยใดสมัยหนึ่งเอาไว้เป็นข้อคิดเห็น
หรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อสังคม ทั้งยังเป็นข้อมูลหลักฐานให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ภาวะสังคมในยุคสมัยนั้น
เป็นการเรียนรู้อย่างลงลึกและซึมซับ เพราะศิลปะแห่งเรื่องสั้นทำหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ
การจดบันทึกไว้ทั้งเรื่องราว เหตุการณ์และอารมณ์ความรู้สึก สาเหตุที่กล่าวมายืดยาวนี้ไม่ใช่จะเพียงจะอธิบายว่าเรื่องสั้นนั้นคืออะไร
แต่เนื่องจากหนังสือที่จะวิจารณ์ต่อไปนี้มีลักษณะของเรื่องสั้นดังที่กล่าวมาข้างต้นอยู่พอสมควร
ราหูอมจันทร์ Vol.1 กีต้าร์ที่หายไป นิตยสารรวมเรื่องสั้นรายฤดูกาล
ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นาคร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙
นับเป็นนิตยสารรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่งที่จัดทำขึ้นด้วยการรวมรวมเรื่องสั้นที่มีคุณภาพไว้
โดยพิจารณาถึงเป้าหมายประการหนึ่งของเรื่องสั้นว่า “เรื่องสั้นทำหน้าที่บันทึกสังคม”
“แรงคลื่น”
เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นจำนวน ๑๕ เรื่อง ในนิตยสารรวมเรื่องสั้นชื่อ ราหูอมจันทร์
Vol.1
กีต้าร์ที่หายไป ของอนุสรณ์ มาราสา
นักเขียนชาวจังหวัดสตูลผู้สร้างสรรค์งานเขียนอย่างต่อเนื่อง เช่น เรื่องสั้น “ครั้งเดียวไม่เคยรัก”
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ และผลงานรวมเรื่องสั้น เจ้านกบินหลา (๒๕๓๘) คลื่นไม่เคยลาฝั่ง
(๒๕๓๙) และ เด็กปอเนาะ ที่ได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดวรรณกรรมเยาวชน
ของสำนักพิมพ์ ต้นอ้อ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐
เรื่องสั้น “แรงคลื่น”
ของ อนุสรณ์ มาราสา เลือกใช้วัสดุในการดำเนินเรื่องอย่างน่าค้นหา
โดยการใช้อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครเชื่อมโยง เปรียบเทียบกับแรงคลื่นชนิดต่างๆ รวมทั้งแรงคลื่นธรรมชาติลูกใหญ่ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ได้อย่างโดดเด่น
ด้วยการตีแผ่ความเป็นจริงในสังคมที่สอดคล้องไปกับฉาก แวดล้อมทางสังคมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สะท้อนวิธิคิดของมนุษย์และผลกระทบของความเจริญทางวัตถุ หรือที่เรียกว่า
“ทุนนิยม”
ที่เห็นความสำคัญของวัตถุมากว่าจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ นำเสนอความโลภ
และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์
กับการเรียกร้องเพื่อครอบครองผลประโยชน์ที่คิดว่าตนควรจะได้
เรื่องสั้นเรื่องนี้กล่าวถึงสุไลมาน
ชายหนุ่มที่พยายามเรียกร้องสิ่งที่ตนคิดว่าไม่เป็นธรรมสำหรับตนเอง คือ เรื่องมรดกที่ผู้เป็นบิดาแบ่งให้ตนก่อนจะเสียชีวิต
ด้วยการใช้สภาพอารมณ์ที่โดดเด่น คือ ความโกรธ เป็นระยะๆ ตลอดทั้งเรื่อง
“ผมไม่ชอบเลย มันเป็นของน่าละอาย
มากกว่าเชิดหน้าชูตาให้ผู้เป็นเจ้าของ” (อนุสรณ์ มาราสา : ๒๒๕) อนุสรณ์
ได้เปิดประเด็นความขัดแย้งของเรื่องด้วยการให้ความรู้สึกที่กึกก้องอยู่ในใจของสุไลมาน
ตัวละครที่ทำหน้าที่เสมือนเล่าเรื่องของตัวเอง ความไม่พอใจใน “เรือนไม้ชั้นเดียว
หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ราคาไม่กี่ตังค์”
ทรัพย์สินที่บิดามอบไว้ให้ก่อนเสียชีวิต เกิดขึ้นด้วยความโกรธ แต่เขาก็จำต้องรับมันด้วยเหตุว่าเป็นธรรมเนียมที่สืบต่อกันมา
“บ้านโบราณ” อาจเป็นตัวแทนของบิดาผู้ล่วงลับ
ที่ทิ้งไว้เพียงความหวังและคำสอนว่า ให้พี่น้องรักและพึ่งพาอาศัยกัน
แต่ท้ายที่สุดความไม่พอใจในสิ่งที่ตนได้รับและความต้องการทรัพย์สินที่มีค่าของสุไลมาน
ก็ทำลายความเชื่อและความเคารพในคำพูดของบิดา
ด้วยความคิดว่าจะขายบ้านโบราณหลังนั้นและทรัพย์สินทั้งหมดและเอาเงินมาแบ่งกับพี่ชาย
ถึงตอนนี้ความเคารพในคำพูดและคำตัดสินที่ต่างถือว่าเป็น “วาจาสิทธิ์”
ของบิดา ได้ยุติลงจากจิตใจของสุไลมานจนหมดสิ้น ความโลภก่อตัวขึ้นแทนที่
และกลายเป็นความโกรธที่มีแต่ทวีความรุนแรงขึ้น
ความโกรธ ของสุไลมาน ปะทุขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่เขาทราบว่า บิดาจะยกที่ดินติดถนนและโรงแรม ให้กับพี่ชาย เพราะเขารู้ดีว่าวันหนึ่งเจ้าของโรงแรมต้องมาขอซื้อเพื่อขยายกิจการในราคาแพงลิบลิ่ว
“เอาเปรียบกันชัดๆ ผมตะโกนลั่นในใจ
หากแต่เก็บงำความไม่พอใจอยู่ในใจไม่แพร่งพราย” (อนุสรณ์ มาราสา : ๒๒๖) “ผมอยากหัวเราะดังๆ ดินที่อ่าวต้านนุ่นที่ป๊ะว่านั้น
มันเป็นดินเปล่าไม่มีอนาคต อีกนานกว่านักธุรกิจที่ดินจะต้องการ ขาดๆ เกินๆ ที่ว่า
บังและป๊ะกำลังเอาเปรียบผมอยู่โทนโท่” (อนุสรณ์ มาราสา : ๒๒๖) การไม่ได้ครอบครองทรัพย์สินมีค่าที่ควรจะได้ ทำให้มนุษย์รู้สึกว่า “เป็นความขาดทุนเสียหาย
เสียเปรียบ” หากลองคิดใคร่ครวญในแนวศาสนาโดยมิเจาะจงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
ก็จะพบว่าทั้งเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นซิกซ์ หรือศาสนาใดๆ
ล้วนแต่มุ่งทำลายความเห็นแก่ตัวในตัวมนุษย์ทั้งสิ้น
การที่สุไลมานรู้สึกว่าตนถูกพี่ชายเอาเปรียบ พี่ชายเป็นผู้เห็นแก่ตัว
ชี้ให้เห็นว่า ในที่สุดมนุษย์ก็มิได้เอาแนวทางของศาสนา คือการทำลายความเห็นแก่ตัวมาใช้
แต่กลับเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของขาดทุนเสียหายสำหรับตน
เพราะคิดว่าหากเราไม่เห็นแก่ตัวเราก็จะเสียเปรียบ
คนที่เห็นแก่ตัวเขาก็ได้เปรียบได้ประโยชน์ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ว่า
ไม่มีใครกล้าที่จะไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นสิ่งที่อนุสรณ์ พยายามเสนอผ่านอารมณ์และมุมมองของสุไลมานตอนนี้คือ
เพื่อให้มนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ รู้จักกับศัตรูตัวฉกาจของจิตใจที่จะนำไปสู่ความโลภ
สิ่งนั้นคือ ความเห็นแก่ตัว นั่นเอง
“อุวะ
แล้วทำไมไม่พูดตอนป๊ะอยู่เล่า? มาพูดตอนนี้แล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
ป๊ะอุตส่าห์ส่งแกไปเรียนปอเนาะสามปีตามที่แกอยากเรียน
กลับมายังงกอยู่กับเรื่องสมบัติ ป๊ะรู้จะเสียใจขนาดไหน เรียนศาสนาเสียเปล่า
แต่มีความคิดเป็นเด็กอมมือ...” (อนุสรณ์ มาราสา :
๒๒๙) แม้มนุษย์จะได้รับการศึกษาสูงเพียงไร
การศึกษาก็มิได้ขัดเกลาให้กิเลส ความโลภ และความเห็นแก่ตัวลดลงจากจิตใจมนุษย์เลย
เมื่อจิตใจของมนุษย์ถูกครอบงำด้วยอำนาจของความเจริญทางวัตถุในสังคมหรือที่เรียกว่า
“วัตถุนิยม” ก็เสมือนฟืนไม้เชื้อเพลิงอย่างดีที่สุมไฟแห่งกิเลส
ความโลภและความเห็นแก่ตัวในจิตใจมนุษย์ให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ลุกลามและเผาผลาญจิตอันสงบ ปราศจากกิเสสและความเห็นแก่ตัวจนมอดดับสิ้น
ยิ่งมนุษย์มีการศึกษาสูงเท่าใด ความเจริญทางวัตถุก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อความเจริญทางวัตถุสูงขึ้นเพียงไร ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์โลกก็ย่อมเพิ่มขึ้นเท่านั้นเช่นกัน
ด้วยอำนาจของสังคมระบบ “ทุนนิยม”
ที่เป็นตัวกำหนดระดับกิเลสในจิตใจของมนุษย์ เพราะยิ่งวัตถุเจริญไปเท่าไร
ก็ยั่วยวยให้มนุษย์ขวนขวายเพื่อการครอบครองสรรพสิ่งบนโลกเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ในที่สุดก็กลายเป็นความละโมบโลภมาก มุ่งแต่จะกอบโกย แก่งแย่งแข่งขันกัน
และเมื่อมนุษย์ต่างแก่งแย่งกันเพื่อให้ตนได้มาซึ่งสิ่งทีปรารถนาจะครอบครองเพื่อสนองวามต้องการของตนเอง เมื่อนั้นความสันติสุขและสันติภาพก็จะเลือนหายไปจากสังคม
“ผมสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
พี่น้องฆ่ากันได้เพราะแย่งสมบัติ ผมได้ยินเสียงนั้นแว่วมาแต่ไกล
ไม่นึกเลยว่าจะมาประสบด้วยตัวเองสักวัน” (อนุสรณ์ มาราสา : ๒๒๙)
“แววตาของพี่ชายร่วมสายเลือดของผมเหมือนศัตรูคู่แค้น
หาใช่พี่น้องคลานตามกันมาไม่” (อนุสรณ์
มาราสา :
๒๒๘)
นายหน้าที่ดินสองคนที่เดินออกจากบ้านพี่ชายของสุไลมาน
กับคนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยที่เลือกขายที่ดิน เพื่อปรับตัวในกระแสการเปลี่ยนแปลง เป็นตัวแทนของ
“ระบบทุนนิยม” และผู้ยอมรับในระบบสังคมดังกล่าว
ระบบสังคมที่มนุษย์เห็นความสำคัญของวัตถุมากกว่าจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
ที่ทำลายความสงบสุขและสันติภาพ
แล้วนำไปสู่การแย่งชิงเพื่อการครอบครองทรัพย์สินเงินทองและวัตถุที่ต้องการ
พี่น้องที่เกือบฆ่ากันตายเกิดขึ้นเพราะใจมนุษย์กระหายอยากวัตถุที่เจริญเหล่านั้น
เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง อนุสรณ์
พยายามชี้ให้เห็นว่าเมื่อความเจริญทางวัตถุมีมากขึ้น สันติสุข และสันติภาพ
จะยิ่งเลือนหายไปจากสังคมแล้วจะเกิดการสู้รบการแก่งแย่งในที่สุด ความเจริญจึงกลับกลายมาเป็นอุปกรณ์ของอาชญากรรมทำลายความสงบสุขในสังคม
ฉะนั้น ศัตรูอันฉกาจของมนุษย์คือ กิเลส ความโลภ อันเกิดจากความเจริญทางวัตถุที่เรายับยั้งมันไม่ได้นั่นเอง
ประโยคสำคัญในความคิดของสุไลมานว่า
“สามปีเต็มๆ ในปอเนาะ
ได้สอนอะไรให้ผมบ้าง หากไม่ใช่เรื่องราวการมีชีวิตอยู่ก่อนที่ชีวิตจะสิ้นลมปราณ
นอกจากปฏิบัติศาสนกิจกับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
สัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์คือสิ่งสำคัญที่จะให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
และญาติพี่น้องต้องเป็นคนแรกๆที่เราต้องกระทำ ผมทิ้งตำรานั้นไปอยู่เสียที่ไหน?”
(อนุสรณ์ มาราสา :
๒๓๓) ประโยคดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ความเจริญทางวัตถุ
คือเครื่องกระตุ้นกิเลส ความโลภ และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์
ได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันให้หายไปเสียแล้วจริงๆ
ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความขัดแย้งระหว่างพี่น้องที่สุไลมานคิดว่าไม่สมควรให้อภัย
นับเป็นประโยคอีกหนึ่งประโยคที่แสดงแนวคิดที่ชัดเจนของอนุสรณ์ ก็กล่าวได้
นัยเชิงสัญลักษณ์
:
ความโกรธ ดั่ง แรงคลื่น
ลักษณะที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของเรื่องสั้นเรื่องนี้คือ
สภาพอารมณ์ของตัวละครผู้เล่าเรื่องอย่าง
สุไลมาน
ที่อนุสรณ์บรรจงสร้างขึ้นอย่างตั้งใจ สภาพอารมณ์โกรธ ปรากฏในเรื่องอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเรื่อง
โดยการนำ “คลื่น” ที่ซัดเข้าหาฝั่งด้วยความคุ้มคลั่งอย่างไม่ลดละมาเป็นสัญลักษณ์แทนสภาพอารมณ์โกรธของสุไลมาน
เช่น
“คลื่นบ้าก่อตัวขึ้น คลื่นนี้ไม่สงบลงง่ายๆหรอก...”
(อนุสรณ์ มาราสา :
๒๒๙)
“ผมเห็นคลื่นแห่งความโกรธกำลังก่อตัวขึ้นมา
เป็นคลื่นสีดำยอดสูงที่พร้อมกระหน่ำซัดสาดสิ่งที่กีดขวางเบื้องหน้าให้เรียบ...”
(อนุสรณ์ มาราสา :
๒๓๑)
“คำพูดของก๊ะสะใภ้ที่พรั่งพรูออกมา
ราวกับเป็นเขื่อนกั้นกระแสคลื่นโกรธของผมได้ชั่วขณะหนึ่ง” (อนุสรณ์
มาราสา :
๒๓๒)
สภาพอารมณ์โกรธของสุไลมานที่ใช้
“แรงคลื่น” เป็นสัญลักษณ์ ชี้ให้เห็นว่า “อำนาจของแรงคลื่น ดั่งแรงแห่งความโกรธที่เกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัว
ความโลภ และความเจริญทางวัตถุ”
ยังผลให้ความโกรธนั้นทรงพลังอำนาจยิ่งกว่าแรงคลื่นอื่นใด และก่อตัวเป็นคลื่นแห่งอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่มาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องให้ถอยห่างออกจากกัน
แต่แล้วในที่สุด คลื่นบ้า คลื่นความโกรธ
และคลื่นอารมณ์ ของสุไลมานที่ก่อตัวขึ้นอย่างมีพลังอำนาจพร้อมทำลายล้าง ค่อยๆสงบลง
เมื่อสุไลมานทราบความจริงว่าพี่ชายที่ตนสาดคลื่นอารมณ์ใส่อย่างหนักหนานั้น
แท้จริงแล้วเป็นผู้ส่งเสียตนเรียนจนจบปอเนาะ
ถึงตอนนี้คลื่นอารมณ์ในใจของสุไลมานได้สงบลงแล้ว เขามีโอกาสได้ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
กระทั่งเขาค้นพบถึงสิ่งที่เขาต้องทำต่อไปนั่นคือ การขอยกโทษจากพี่ชายผู้แสนดี และ “การสารภาพผิดกับองค์อัลลอฮ์
ผู้ทรงเห็นในสิ่งที่เปิดเผยและเร้นลับ
ให้พระองค์ได้ยกโทษแก่ความผิดที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพี่ชายร่วมสายเลือด” (อนุสรณ์
มาราสา :
๒๓๒-๒๓๓) จังหวะของเรื่องดำเนินไปอย่างช้าๆ ฉากหรือแวดล้อมของตัวละครคือสุไลมาน
ต่างอยู่ในความสงบนิ่ง อารมณ์ของเขาเย็นลงอย่างไม่น่าแปลกใจ
เขาได้คิดทบทวนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภาพความทรงจำในวัยเด็กของเขากับพี่ชายเคลื่อนผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงของสุไลมาน
กระทั่ง! จังหวะของเรื่องได้ดำเนินขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อสุไลมานพาตัวเองหลุดออกจากห้วงคำนึงเหล่านนั้น
แล้วเร่งฝีเท้าเดินลงจากเนินทรายไปยังท่าเรือที่พี่ชายมักมาขึ้นฝั่ง
การดำเนินเรื่องเพิ่มระดับความเร็วขึ้นอีกระลอก เมื่อสุไลมานต้องพบกับผู้คนที่ต่างวิ่งสวนทางตนออกมาอย่างอลม่าน
พร้อมกับคำบอกเล่าอย่างตกใจและเหนื่อยหอบว่ามีคลื่นใหญ่เกิดขึ้นที่ท่าเรือ
ในที่สุดคำขอโทษของสุไลมานก็สายเกินไปเสียแล้ว พี่ชายของเขา
อยู่ในสภาพของร่างที่ไร้วิญญาณ
คลื่นยักษ์ได้ทำลายท่าเรือ บ้านเรือน
ร้านค้า และเรือพังเสียหาย คลื่นยักษ์ได้คร่าชีวิตผู้คนเคราะห์ร้ายไปหลายชีวิตรวมทั้งพี่ชายของสุไลมานด้วย
และที่สำคัญคือคลื่นยักษ์ได้ชะล้าง กลืนกิน “คำขอโทษ” ของ
สุไลมานที่จะมอบแก่พี่ชายของเขา
ลงไปในทะเลด้วยเช่นกัน
ในเวลานี้ สัญลักษณ์ที่อนุสรณ์แทนใช้แทน
ความโกรธ นั่นคือคลื่นชนิดต่างๆในจิตใจของสุไลมาน ได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
กลับกลายเป็นคลื่นยักษ์สึนามิที่สาดซัดทำลายสิ่งต่างๆที่อยู่ตรงหน้า
รวมทั้งพี่ชายของสุไลมานด้วย
และแล้วความโกรธของสุไลมานก็ได้คร่าชีวิตพี่ชายที่แสนดีของเขาเองในที่สุด
อนุสรณ์ ใช้ “คลื่นสึนามิ”
เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจกการทำลายล้างของความโกรธ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว
และอำนาจของระบบทุนนิยม ระบบของความเจริญทางวัตถุ ที่เข้าทำลายล้างทุกอย่างให้หายไปในชั่วพริบตา
ทั้งทรัพย์สินที่มนุษย์พยายามแย่งชิงกัน ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
จนอาจเป็นคำตอบให้กับสุไสมานต่อคำถามที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแรงคลื่น
“นี่มันเป็นแรงคลื่นชนิดใดกัน ที่ได้สร้างความหายนะได้เช่นนี้?” (อนุสรณ์
มาราสา :
๒๓๔) คำตอบคือ คลื่นอารมณ์และคลื่นพลังอำนาจทางจิตใจในความโลภ
การแย่งชิง และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์อย่างเขานั้นเอง
“แรงคลื่น”
เสมือนเงาสะท้อนสังคมให้เห็นถึงผลกระทบของระบบของวิธิคิดแบบทุนนิยม ที่ความเจริญทางวัตถุ
เข้ามากำหนดความคิดของมนุษย์ เป็นความเจริญอย่างบ้าคลั่ง ที่ยิ่งเจริญมาเพียงไร
ความเจริญนั้นก็จะกลับกลายป็นเครื่องมือของอาชญากรรมมำทำลายความสงบสุขและความสันติสุขของสังคม
เรื่องสั้นเรื่องนี้กระตุ้นให้ผู้อ่าน
ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีการใช้ชีวิตมาเป็นความพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีและเป็นอยู่
ถ่อยห่างความเจริญทางวัตถุ เพื่อชะลอให้การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้น ให้ดำเนินอย่างช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และทบทวนวิถีเก่าที่เคยเป็นอยู่ แต่เดิมแม้ไม่มีไฟฟ้า ก็หุงข้าวได้ด้วยฟืน
ตักน้ำได้จากบ่อ พอมีไฟฟ้า ก็ต้องใช้ปั๊มน้ำไฟฟ้า ต้องหุงข้าด้วยหม้อไฟฟ้า
ต้องมีโทรทัศน์วิทยุ ที่บรรจุรายการกิเลสเพื่อยั่งยุให้จิตใจของมนุษย์สร้างกิเลสเหล่านั้นขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตนอย่างไม่สิ้นสุด
และกระตุ้นให้มนุษย์พึงระลึกไว้เสมอว่า
“ความเจริญที่ควบคุมไม่ได้
คืออันตรายที่สุดสำหรับมนุษย์”
บรรณานุกรม
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์, ราหูอมจันทร์ Vol.1 กีต้าร์ที่หายไป.สำนักพิมพ์นาคร, ๒๕๔๙
* นายวิวัฒน์ ทัศวา นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
แนวคิดเป็นตัวของตัวเองดี เป้นแฟนกนกพงษ์เหมือนกันจะบอกว่าใจตรงกันชอบเรื่องนี้
ตอบลบชอบความคิดคายค่ะ
ตอบลบขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมนะครับ ผมมีโอกาศได้อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้เมื่อตอนเรียนวิชาวรรรกรรมปัจุบัน ได้ข้อคิดจากเรื่องนี้เยอะมากครับ ขอคุณอีกครังน่ะครับ คุณ warapatama jongsub
ตอบลบ